วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ความสัมพันธ์ไทยฝรั่งเศส
โครงการบูรณะค่ายตากสิน จังหวัดจันทบุรี

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2552 ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย คณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเิดิม และคณะกรรมการสมาคมฝรั่งเศส-ไทยเพื่อสาธารณประโยชน์ ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณะค่ายตากสิน จังหวัดจันทบุรี

ประวัติศาสตร์ย่อเกี่ยวกับค่ายตากสิน
ตามอนุสัญญาข้อ 6 ในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงฝรั่งเศส วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2426 ประเทศฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีและตราดไว้ และได้เลือกบริเวณบ้านลุ่ม (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี) เพื่อเป็นที่ตั้งกองทัพ อันมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของชายแดนไทยเขมร และควบคุมอ่าวสยามที่ติดต่อกับแหลมมลายูของอังกฤษ จนกระทั่งถอนกำลังจากจันทบุรีเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2448อาคารทั้ง 8 หลัง ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายตากสินเมื่อปีพ.ศ.2532 สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมทหารฝรั่งเศส วัสดุก่อสร้างบางส่วนนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสอย่างกระเบื้องดินเผามุงหลังคาและอิฐจากมาร์เซยคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเิดิม และคณะกรรมการสมาคมฝรั่งเศส-ไทยเพื่อสาธารณประโยชน์ ด้วยการสนับสนุนจากบริษัทฝรั่งเศสใหญ่ๆ หลายบริษัทอย่าง Bouygues Thailand และ Thalès ได้เริ่มงานบูรณะสถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นประจักษ์พยานของประวัติศาสตร์ร่วมระหว่าง 2 ชาติ
โบราณสถานในค่ายตากสิน จันทบุรี
ค่ายตากสินจันทบุรี เป็นสถานที่ตั้งของกองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ กองพลนาวิกโยธิน
อยู่ที่บริเวณบ้านลุ่ม ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี เมืองจันทบุรีโบราณที่บ้านลุ่ม มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงยกทัพมาตีเมืองจันทบุรีแล้วยึดเป็นที่ตั้งมั่นในการเตรียมการกู้ชาติหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ในร.ศ. ๑๑๒ หรือปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสซึ่งพยายามขยายอำนาจเข้าไปในลาวและเขมร ได้ใช้กำลังบังคับและยื่นคำขาดให้ไทยยกดินแดนของลาวทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงกับเขมรส่วนนอก ซึ่งเคยเป็นประเทศราชของไทยให้กับฝรั่งเศส ในระหว่างที่รอคอยให้สัญญาต่างๆ มีผลบังคับใช้ ฝรั่งเศสได้ทำการยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกันจนถึงปี
พ.ศ. ๒๔๔๘ เพื่อเป็นการปฎิบัติตามอนุสัญญาข้อ ๖ ซึ่งต่อท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงฝรั่งเศส วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๒๖ (ร.ศ. ๑๑๒) แต่เหตุผลที่เลือกยึดเมืองจันทบุรีก็เพราะเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์เป็นจุดที่ควบคุมอ่าวสยามที่ติดต่อกับแหลมมลายูของอังกฤษ เป็นทางผ่านเข้าไปยังสามจังหวัดของไทยที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดด้านทรัพยากรธรรมชาติซึ่งได้แก่ บ่อพลอย บ่อไพลิน ในเขตเมืองเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณนอกจากนั้นเมืองจันทบุรียังมีท่าเรือที่ปากแม่น้ำและมีอู่ต่อเรือระวางตั้งแต่ ๓๐๐-๔๐๐ ตัน การยึดจันทบุรีจึงเท่ากับยึดท่าเรือ อู่ต่อเรือ และเรืออื่นๆ ไว้เป็นการตัดกำลังไทยทางอ้อมด้วยกองทหารฝรั่งเศสได้ตั้งค่ายทหารขึ้นภายในบริเวณบ้านลุ่มหรือบริเวณที่เป็นค่ายตากสินในปัจจุบัน และที่ปากน้ำแหลมสิงห์ รวมทั้งได้สร้างสิ่งก่อสร้างอีกหลายหลัง ปัจจุบันหลักฐานร่องรอยต่างๆ ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองจันทบุรีที่บ้านลุ่ม ยังคงปรากฎเหลืออยู่ภายในบริเวณค่ายตากสินเท่านั้น อาคารที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นได้แก่ อาคารกองรักษาการณ์อาคารตอนซ่อมบำรุงและสรรพาวุธ อาคารพัสดุ อาคารคลังแสงหมายเลข ๕ ซึ่งแต่เดิมคงเป็นคลังกระสุนดินดำเนื่องจากทำใต้ถุนโปร่งและมีช่องระบายลมอยู่ทั่วไป และอาคารคลังแสงหมายเลข ๗ ซึ่งมีแผนผังคล้ายกับตึกแดงที่ปากน้ำแหลมสิงห์ ซึ่งฝรั่งเศสได้สร้างขึ้นเช่นกันภายหลังจากที่ทหารฝรั่งเศสถอนออกจากเมืองจันทบุรี เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๘ บริเวณค่ายทหารที่ในบริเวณค่ายตากสินได้มีการใช้งานสืบต่อมาดังนี้
• พ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นที่ตั้งของโรงประชาบาล และบ้านพักของข้าราชการฝ่ายปกครอง
• พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นที่ตั้งกองทหารม้า ม. พัน. ๔
• พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นที่ตั้งของพัน. นย. ๓ (กองพันทหารราบนาวิกโยธินที่ ๓)
• พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นที่ตั้งกองป้องกันพิเศษ จันทบุรี
• พ.ศ. ๒๔๙๘ ทางราชการได้สั่งขยายกำลังกองป้องกันพิเศษ จากกำลัง ๑ กองร้อย เป็น ๑ กองพัน ชื่อว่าพัน.ร.๒
นย. ต่อมาได้แปรสภาพเป็นกองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ กรมผสมนาวิกโยธิน เมื่อ ๑๐ สิงหาคม
๒๕๒๑ และในปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นกองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ กองพลนาวิกโยธินหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินตั้งแต่ ๑ เมษายน ๒๕๓๒กลุ่มอาคารโบราณสถานที่สร้างขึ้นในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองจันทบุรี ได้รับการบูรณะปรับปรุงและใช้งานมาตลอดแต่การบูรณะที่ผ่านๆ มาทำได้ในวงจำกัด เนื่องจากขาดงบประมาณและความรอบรู้ในการบูรณะโบราณสถานทำให้อาคารต่างๆ อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมเป็นอันมาก อาคารเหล่านี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในสมัยที่มีการล่าอาณานิคม ซึ่งการเสียดินแดนให้แก่ประเทศมหาอำนาจผู้แสวงหาเมืองขึ้น เป็นสิ่งที่หลืกเลี่ยงไม่ได้ แต่
การยอมเสียบางส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการอยู่รอดของชาติไทยทั้งหมด ย่อมนับว่าเป็นผลดีแก่ชาติ และการที่เป็นไปได้ดังนั้นก็เนื่องมาจากพระปรีชาญาณในด้านรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสโนบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งหมดต้องตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจ เพราะการดำเนินนโยบายที่แตกต่างกันในปีพ.ศ. ๒๔๔๕ มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิมและกรมศิลปากรได้ร่วมกันสำรวจเพื่อทำแผนบูรณะซึ่งผลของการสำรวจในครั้งนั้งพบปัญหาดังนี้
• ปัญหาความชื้น ทำให้ผนังอาคารแตกร้าว และปูนฉาบหลุดการรั่วซึมของหลังคา เนื่องจากวัสดุที่ใช้หมดสภาพ
• ปัญหาโครงสร้างทรุดตัว
• กรอบและบานประตูส่วนใหญ่หมดสภาพผุพัง และบางส่วนถูกเปลี่ยนสภาพเป็นรูปแบบใหม่ซึ่งไม่สอดคล้อง
กับยุคสมัยของอาคารต่อมาในปี ๒๕๕๑ คณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม กองทัพเรือ และกรมศิลปากรได้มีแนวคิดร่วมกันในการจัดโครงการบูรณะโบราณสถานแห่งนี้ และได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี องค์ประธานที่ปรึกษาของมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดโครงการฯ ณ ค่ายตากสินอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑สำหรับงบประมาณในการบูรณะทั้งหมดคาดว่าจะไม่น้อยกว่า ๕๐ ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการได้พยายามจัดกิจกรรมหารายได้ต่างๆ รวมทั้งรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา และในการนี้ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย นายโลรองต์ บีลี่ ได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้ และได้กรุณาประสานกับคณะกรรมการฝรั่งเศส-ไทยตลอดจนตัวแทนของภาคเอกชนชาวฝรั่งเศสในประเทศไทย อาทิเช่น บริษัท BOUYGUES THAI LTD., บริษัท THALESINTERNATIONAL (THAILAND) CO., LTD. ฯลฯ เพื่อให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ ทั้งในด้านเงินทุนและด้านเทคนิคในการอนุรักษ์โบราณสถานในค่ายตากสินแห่งนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในสมัยปัจจุบัน

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553


ตำนาน ดอกดาหลา....เรื่องเศร้าๆๆของความรักของคนต่างศาสนา

ดอกดาหลา .....ดอกไม่ชายแดน (มาเล)

เรื่องราวความรักต่างศาสนาทราบว่าเป็นตำนานของคู่รักต่างศาสนา ระหว่างชายไทยกับสาวงาม มาเล (อิสลาม)ทั้งสองพบกัน ตอนที่หนุ่มไทยข้ามไปทำงานยังประเทศมาเล และเกิดความรักกับสาวมาเล แต่ด้วยความที่ต่างกัน ทางศาสนา พ่อแม่จึงมิให้คบหากัน ถึงแม้จะถูกกีดกันระหว่างพ่อแม่แต่นางก็มั้นในรักต่อชายไทย นางมิยอมเป็นของชายใดนอกจากชายที่นางรัก แต่แล้วมีเหตูให้ต้องพรัดพรากแยกจากกัน คือชายไทยนั้นต้องกลับมายังประเทศของตน ก่อนจะจากกันก็สัญญากันไว้ว่าจะกลับมาหาสาวมาเลที่บริเวณชายแดน นางก็รอแม้ระยะเวลาจะนานแค่ใหนนางก็ยังรอที่ชายแดนมาเล รอการกลับมาของเขารอด้วยความหวังลิบหรีก่อนที่นางจะตรอมใจตายนางก็ยังมารอที่ชายแดนมาเล และอฐิฐานว่าหากเกิดอีกชาติให้เกิดมาเป็นดอกดาหลาที่ขึ้นอยู่ตามชายแดนมาเล เพื่อรอหนุ่มคนรักกลับมา

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

เลือกของใส่บาตรตามวันเกิด

วันอาทิตย์

อาหารคาว : ประเภทไข่ ดาว เจียว ผัด ลูกเขย ลูกสะใภ้ ต้ม แกงกะทิ

อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ

ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู

ไหว้พระ : ปางถวายเนตร (พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ 6 (สวดแบบย่อ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ)

ทำทาน : เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด คนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด โรงพยาบาล โรคหัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ

พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

วันจันทร์

อาหารคาว : ประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่นไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอดปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู เต้าหูทอด แกงจืดเต้าหู้ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด

อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก มัน ลางสาด ขนมเปี๊ยะ

ของถวายพระ : แก้วน้ำ แจกัน ของโปร่งๆ ใสๆ

ไหว้พระ : ปางห้ามญาติ (พระประจำวันเกิด) กำลังวัน เท่ากับ 15 (สวดแบบย่อ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา)

ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี

พฤติกรรม : ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ให้ความช่วยเหลือสตรีเช่นลุก ให้สตรีนั่งบนรถเมล์บริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง
วันอังคาร

อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว ปลาช่อนตากแห้งทอด

อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปร์ท น้ำอัดลม

ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม กรรไกรตัดเล็บ

ไหว้พระ :ปางไสยาสน์ (พระนอน) มีกำลังเท่ากับ 8 (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง)

ทำทาน : คนพิการทางปาก ปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก

พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน การชิงดีชิงเด่น

วันพุธ (กลางวัน)

อาหารคาว : เน้นสีเขียว หมู แกงเขียวหวานหมู หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู ฯ คะน้าน้ำมันหอย กุนเชียง

อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว มะม่วงเขียวเสวย ฝรั่ง ชามะนาว

ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา

ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 17 (สวดแบบย่อปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท )

ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก

พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

วันพุธ (กลางคืน)

อาหารคาว : ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม ไข่เยี่ยวม้า ห่อหมก

อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน

ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม

ไหว้พระ : ปางป่าเลไลย์ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 12 (สวดแบบย่อ คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ)

ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด

พฤติกรรม : เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน เลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด

วันพฤหัสบดี

อาหารคาว : ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้า

อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้

ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา

ไหว้พระ : ปางสมาธิ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๙ (สวดแบบย่อ ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ)

ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว

พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล๕ อย่าซื่อจนเกินไป
วันศุกร์

อาหารคาว : ประเภทของหอม หวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมใหญ่ ยำหัวหอม

อาหารหวาน : ขนมหวาน หอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วยหอม เค้ก

ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่าม

ไหว้พระ : ปางรำพึง (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 21 (สวดแบบย่อ วา โธ โน อะ มะ มะ วา)

ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม

พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการฟุ่มเฟือย

วันเสาร์

อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว

อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง

ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด

ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 (สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ระ ถา โธ)

ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท

พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553


6เรื่องดีๆ จากสตอเบอร์รี่

1.ดูแลสายตา ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ
6.ปราบโรคหัวใจ ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

10 กลเม็ด...ดูแลผมสวย
1. แปรงผมก่อนสระผมทุกครั้ง แปรงผมเพื่ออะไร ง่ายๆ ก็คือแปรงผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นผม และสางเส้นผมที่พันกันอกก่อนที่สำคัญถ้าหวีไม่ถูกกับลักษณะของทรงผมหรือเส้นผม อาจจะกลายเป็นทำลายเส้นผมก็ได้นะคะ ควรศึกษาลักษณะของหวีให้ดีกว่า
2.สระผมควรใช้แชมพูและครีมนวดที่ผสมอาหารชีวภาพ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและบำรุงเส้นผมไปด้วยในตัว เพราะสารอาหารชีวภาพจะถูกดูดซึมและเข้าถึงรากและตลอดเส้นผม
3.นวดศีรษะนวดหนังศีรษะขณะอาบน้ำใต้ฝักบัว เพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียนช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและช่วยลดความเครียดใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีระณะเบาๆ โดยเริ่มจากด้านหน้าและนวดลงไปถึงต้นคอ

4.เพิ่มความชุ่มชื่นชโลมคอนดิชันเนอร์เฉพาะตรงปลายผม และส่วนที่เลยปลายผมขึ้นมาครึ่งหนึ่งของความยาว (เพราะเส้นผมส่วนที่อยู่ใกล้หนังศีรษะน่าจะมีน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว ) การใช้คอนดชันเนอร์ใกล้ๆ รากผมจะทำให้รู้สึกว่าเส้นผมเป็นมันเยิ้มหลังจากการสระผมไม่นาน
5.เพิ่มความเงางามและขจัดเส้นผมพันกัน ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 600 มิลลิลิตร แล้วราดลงบนเส้นผม ใช้หวีสางให้ทั่วและล้างออกด้วยน้ำอุ่น
6.ล้างด้วยน้ำเย็นน้ำร้อนทำให้ต่อมรากผมขยายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป ทำให้ผิวแห้งหยาบดูไม่มีชีวิตชีวา ใช้น้ำเย็นล้างผมจะดีกว่า ความเย็นของน้ำจะช่วยให้ต่อมรากผมปิดตัว เส้นผมจะเงางามทั่วศีรษะ
7.ซับเบาๆ อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม เพราะผ้าขนหนูจะขโมยความชุ่มชื่นและทำลายความยืดหยุ่นของเส้นผม ให้ใช้ปลายนิ้วบีบน้ำบนเส้นผมออก แล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ วิธีนี้จะช่วยเก็บกับความชุ่มชื่นบนเส้นผมไว้ได้
8. สางผมอย่าแปรงผมในขณะที่ผมเปียกเด็ดขาด เพราะขณะที่ผมเปียกเส้นผมจะพองใหญ่กว่าปกติสองเท่าและจะทำให้ผมเสียได้ง่าย ใช้หวีซี่ห่างๆ สางผมเปียกที่แบ่งเป็นส่วนๆ โดยเริ่มสางผมจากปลายก่อน
9.ปล่อยให้แห้งปล่อยให้เส้นผมแหงตามธรรมชาติ เพราะเครื่องมือแต่งผมที่ใช้ความร้อนจะทำให้แกนผมเสีย ปิดผมยาวๆ ขึ้นไปรวบเป็นมวย เส้นผมจะเซ็ทตัวได้เองเมื่อแห้งแล้วถ้าผมสั้นก็ทาเจลแล้วหวีให้ทั่ว
10.กำราบผมตั้งชี้เมื่อผมแห้งแล้ว ฉีดสเปรย์ลงบนหวีแล้วหวีผมให้ทั่ว วิธีนี้จะทำให้ปลายผมที่ตั้งชี้ลู่ลงไป ทำให้เส้นผมดูเงางาม เป็นระเบียบ และช่วยให้เส้นผมอยู่ทรงได้นานขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553


ท้องผูกต้องแก้ให้ถูกวิธี


แก้ท้องผูกด้วยสมุนไพร

-มะขาม กินมะขามฝักแก่ หรือมะขามเปียก 10-20 ฝัก จิ้มเกลือ หรือคั้นเป็นน้ำดื่ม

-ขี้เหล็ก นำแก่น 50 กรัม ราก ลำต้น ดอก ใบ และผลของขี้เหล็ก รวมทั้งหมด 20-25 กรัม ไปต้ม เอาแต่น้ำ ดื่มก่อนอาหารหรือก่อนนอน

-มะเฟือง ขณะท้องว่างประมาณ 1 ชั่วโมง กินมะเฟืองที่มีรสเปรี้ยว 2-3 ลูก นอกจากจะเป็นยาระบายได้แล้ว มะเฟืองยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

-เมล็ดชุมเห็ดไทย นำเมล็ดชุมเห็ดไทยประมาณ 1 กำมือ มาคั่วให้เหลือง แล้วนำมาต้มในน้ำสะอาดปริมาณ 1-2 แก้วจนเดือด นอกจากจะช่วยระบายท้องแล้ว เมล็ดชุมเห็ดไทยยังมีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับสบาย