วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีพักสายตา ระหว่างการทำงาน

สายตา สุขภาพ ปวดตา

เคยนับ ๆ ดูบ้างหรือเปล่าคะว่าคุณต้องใช้สายตาเพ่งงานอยู่วันละกี่ชั่วโมง (ใครไม่เคยนับอาจตกใจได้นะคะ) การใช้สายตาอย่างมากมายนี่เองค่ะ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการล้า ปวดเมื่อยสายตา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ว่าวิธีบรรเทาอาการเพลียตา (ด้านล่าง) นั้นช่วยให้การมองของคุณดีขึ้น ทั้ง ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกต่างหากด้วย...

เทคนิคการโฟกัส (สำหรับการพักสายตา)

มองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง หรือมองออกไปไกล ๆ จากงานที่อยู่ตรงหน้าเท่าที่จะสามารถทำได้

วัตถุที่คุณมองนั้นควรอยู่ห่างจากคุณอย่างน้อย 20 ฟุต

เคลื่อนสายตามองไปรอบ ๆ และมองไปที่สิ่งอื่น ๆ หรือวัตถุอื่น ๆ บ้าง

ย้อนกลับมามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง

ทำซ้ำตามวิธีนี้บ่อย ๆ ในวันทำงานของคุณ

การปิดฝ่ามือ (สำหรับการพักสายตา)

ทำมือเป็นลักษณะรูปถ้วยปิดรอบดวงตา วางพักมือบนโหนกแก้ม (หลีกเลี่ยงการกดลงบริเวณลูกตา)

ประสานมือไขว้ไว้เหนือดั้งจมูกเพื่อบังแสงสว่าง

หลับตาลงประมาณ 15 วินาที แล้วให้หายใจเข้า หายใจออกลึก ๆ

เปิดฝ่ามือ แล้วลืมตาขึ้น

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553


ปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น

Adolescent Problems

นพ. พนม เกตุมาน สาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีปัญหาสุขภาพจิตได้มากที่สุดวัยหนึ่ง ซึ่งแสดงออกเป็นปัญหาพฤติกรรมได้หลายประการ เช่น ดื้อ ไม่เชื่อฟัง ละเมิดกฎเกณฑ์กติกาต่างๆ มีแฟนและมีเพศสัมพันธุ์ ใช้ยาเสพติด ทำผิดกฎหมาย ปัญหาพฤติกรรมบางอย่างมักเกิดขึ้นมานาน จนทำให้การแก้ไขมักทำได้ยาก การป้องกันปัญหาจึงมีความจำเป็น และสำคัญมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว การป้องกันดังกล่าว ควรเริ่มตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพจิตตั้งแต่เด็ก เด็กที่มีพัฒนาการของบุคลิกภาพดี จะมีภูมิต้านทานโรคทางจิตเวชต่างๆ และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่นได้อย่างมากเช่นกัน พ่อแม่และครูอาจารย์และผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กทั้งหลาย จึงควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพจิตตั้งเด็กจนถึงวัยรุ่นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ควรมีส่วนร่วมในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กและวัยรุ่นเช่นเดียวกัน

สุขภาพจิตหมายถึงอะไร

"สภาพจิตใจที่เป็นสุข สามารถมี สัมพันธภาพ และรักษาสัมพันธภาพกับผู้อื่นไว้ได้อย่างราบรื่น สามารถทำตนให้เป็นประโยชน์ได้ ภายใต้ภาวะสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคม และลักษณะความเป็นอยู่ในการดำรงชีพ วางตัวได้อย่างเหมาะสม และปราศจากอาการป่วยของโรคทางจิตใจและร่างกาย"
ปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพจิต

สุขภาพจิตที่ดี เกิดจากร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ความสามารถทางจิตใจที่ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์ สภาพครอบครัวที่อบอุ่นและสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี


วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความมหัศจรรย์ของ “ชาขาว”

ความมหัศจรรย์ของ “ชาขาว” ได้รับการค้นพบมานานแล้ว โดยได้รับการยกย่องให้เป็น ราชินีแห่งชา เพราะเป็นชาที่หาได้ยาก แถมยังมีราคาแพงกว่าชาเขียวและชาดำหลายเท่าตัว โดย “ชาขาว” คือส่วนยอดสุดของต้นชาที่ยังตูมอยู่ มีลักษณะ คล้ายเข็ม และมีขนอ่อนสีขาวปกคลุมอยู่

ความโดดเด่นของ “ชาขาว” นอกจากจะมีรสอ่อนละมุน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะ EGCG สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งมีอยู่ในชาขาวมากกว่าชาชนิดอื่นๆ และด้วยคุณสมบัติพิเศษของชาขาวนี่เอง ทำให้โลกตะวันตกทุ่มงบวิจัยเรื่องชาขาวอย่างคึกคัก โดยล่าสุด ผลจากการศึกษาค้นคว้าของสถาบันลีนัส แห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท ประเทศสหรัฐ อเมริกา ค้นพบว่า “ชาขาว” มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในปริมาณที่สูงกว่าชาเขียวถึง 3 เท่าตัว

ขณะเดียวกัน สถาบันค้นคว้าวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโรงพยาบาลคลีฟแลนด์ ประเทศสหรัฐ อเมริกา ก็ค้นพบเช่นกันว่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในชาขาว ช่วยปกป้องผิวจากภายใน ด้วยคุณประโยชน์ 2 ประการ คือ ช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันผิวจากการถูกทำลาย และยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีสาเหตุมาจากรังสียูวี นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการสูญเสียโปรตีนในชั้นผิวจากกระบวนการออกซิเดชั่น และทำให้ต่อมน้ำเหลืองขจัดสารพิษออกจากผิว ทำให้ผิวไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตเครื่องสำอางชั้นนำ ทั้งในอเมริกาและยุโรป จึงนิยมนำชาขาวมาเป็นวัตถุดิบหลักในผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยและชะลอวัย

สำหรับประเทศอังกฤษ “ศาสตราจารย์ ดีแคลน นอตัน” จากมหาวิทยาลัยคิงสตัน ในกรุงลอนดอน ค้นพบว่าสารสกัดที่ได้จากชาขาว จะช่วยบำรุงผิวล้ำลึกถึงในระดับโครงสร้างชั้นในของผิวหนัง โดยการเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนังในชั้นอีลาสติน และช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวคงความยืดหยุ่นไม่หย่อนยาน จากการทดลองยังพบว่าสารประกอบในชาขาวจะช่วยหยุดยั้งการทำงานของเอนไซม์ ที่จะเข้าไปทำลายโครงสร้างภายในของผิวในระดับลึก เนื่องจากความเครียดและสภาวะเร่งรีบในการใช้ชีวิตยุคปัจจุบัน

วิธีการเลือกเครื่องกรองน้ำ

การเลือกใช้เครื่องกรองน้ำ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้น้ำที่สะอาดและปลอดภัย และวิธีการกรองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันทั่วไป ดังนั้นเราควรมีความรู้พื้นฐานในเรื่องประเภทของเครื่องกรองน้ำในครัวเรือน ไว้บ้างก็จะดี ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำได้ตรงตามความต้อง การสำหรับการใช้งาน

ก่อนอื่นคุณต้องทำความรู้จักกับสิ่งปนเปื้อนในน้ำกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง ที่เครื่องกรองน้ำนั้นสามารถกรองได้ และอะไรที่กรองไม่ได้ ซึ่งในน้ำนั้นมีสารปนเปื้อนที่เป็นสาเหตุที่อาจทำให้เราเจ็บป่วยได้ หากเราดื่มน้ำที่มีสารปนเปื้อนถึง Micron = 0.001 มิลลิเมตร

สารกรองและไส้กรองชนิดต่างๆ ในเครื่องกรองน้ำ
สารกรองแมงกานีส กำจัดสารโลหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารละลายเหล็ก และยังเติมออกซิเจนให้กับน้ำ
สารกรองแอนทราไซต์ กำจัดตะกอนและสนิมเหล็ก
ไส้กรอง
- สารกรองคาร์บอน ใช้กรองตะกอน กลิ่น สี คลอรีน และสารอินทรีย์
- สารกรองเรซิ่น กรองหินปูน ลดความกระด้างในน้ำและดูบซับสี
- ไส้กรองเซรามิค กรองเชื้อโรคในน้ำได้เป็นอย่างดี เช่นเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรียบางชนิด มีความละเอียดในการกรอง 30 ไมครอน
- ไส้กรองด้ายพัน กรองสารอินทรีย์ต่างๆ กรวด หิน ดิน ทราย มีความละเอียดในการกรอง 5 ไมครอน
- ไส้กรองจีบ กรองกรวด หิน ดิน ทราย และสนิม ทำความสะอาดง่าย มีความละเอียดในการกรอง 30 ไมครอน
- ไส้กรองเมมเบรน กรองสารละลายสารปนเปื้อน เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และยังสามารถกรองน้ำเค็มให้จืดสนิท มีความละเอียดในการกรอง 0.0001
ไมครอน

จัดบ้านเก๋ โชว์ไอเดียเจ๋ง


มูลี่หรือฉาก เป็นการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้เป็นสัดส่วนแบบไม่ยุ่งยาก แถมยังมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการต่อเติมหรือกั้นห้อง อีกทั้งยังช่วยซ่อนความรกของชั้นวางของและทำให้ห้องดูเรียบร้อยมากขึ้นอีกด้วยล่ะค่ะ

ลองเปลี่ยนโคมไฟใหม่ เพราะแสงส่งผลต่อพื้นที่มากกว่าสิ่งอื่นใด(หลายคนอาจจะยังไม่รู้ใช่รึเปล่าล่ะ) และยังช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของห้องได้อีกด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนโคมไฟและหลอดไฟให้เหมาะกับห้องก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไป เช่น การติดโคมไฟแชนเดอเลียร์เหนือโต๊ะรับประทานอาหารเพียงอันเดียวก็ทำให้ห้องดูสวยงามมีสไตล์ขึ้นแล้ว

จัดมุมเล็กๆ ของตัวเอง เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนอยากจะทำเป็นที่สุด สาวๆ อาจจะเริ่มจากห้องนอนของตัวเองก่อน เพราะห้องนอนเป็นห้องที่เราใช้งานมากกว่า 8 ชั่วโมงในแต่ละวัน ดังนั้น ถ้าห้องนอนของเราน่าอยู่ ก็จะมีแรงบันดาลใจในการตกแต่งห้องส่วนอื่นๆ ของบ้านต่อไปค่ะ

เด็กดีดอทคอม :: จัดบ้านเก๋ โชว์ไอเดียเจ๋ง


ติดผ้าม่านการติดผ้าม่านเป็นวิธีช่วยกรองแสงแดดให้เข้าสู่ตัวบ้านหรือห้องแต่ละห้องได้อย่างเหมาะสม และการติดผ้ากรุซับในด้านหลังม่านจะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้ห้องนั้นๆ เทคนิคง่ายๆ อีกอย่างคือ ติดผ้าม่านชนิดทิ้งชายเป็นแนวยาวจากเพดานจรดพื้น จะช่วยพรางตาให้ห้องที่มีเพดานเตี้ยดูสูงขึ้นอีกด้วยล่ะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

 ผัก ผลไม้ แอปเปิ้ล ส้ม ฝรั่ง อาหาร

สุดยอด!!! ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)
ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

ถั่ว
ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม ถั่วช่วยคุณได้ค่ะถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

แอปเปิ้ล ผลไม้



แอปเปิ้ล
มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ เพคติน แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัวเพคตินนี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที

บรอคโคลี่
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

กล้วยไข่
กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

ฝรั่ง
ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำ

ส้ม แอปเปิ้ล ผลไม้
ส้ม
แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วย

ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ล่าสุด ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า โรคติดต่อหลายโรค ที่มักพบบ่อยในฤดูหนาวมี 6 โรค ได้แก่...

โรคไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มด้วยการมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ เมื่อเริ่มมีอาการควรนอนพักผ่อนให้มาก ๆ ดื่มน้ำบ่อย ๆ ถ้าตัวร้อนมากควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือกินยาลดไข้ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน แต่หากมีอาการไอมากขึ้น หรือมีไข้สูงนานเกิน 2 วัน ควรไปพบแพทย์

โรคปอดบวม จะมีอาการโดยทั่วไปได้แก่ ไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูง และหายใจหอบ การวินิจฉัยจะกระทำโดยการฉายรังสีเอกซ์และการตรวจเสมหะ ซึ่งหากมีความรุนแรง ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี รวมทั้งเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย เด็กขาดสารอาหาร เด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด เช่น โรคหัวใจ เป็นต้น

โรคหัด มักเกิดในเด็กโตและวัยรุ่น อาการจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง และจะมีผื่นขึ้นภาย หลังมีไข้ประมาณ 4 วัน จากนั้น ผื่นจะกระจายทั่วตัว โดยผื่นจะจางหายไปภายใน 2 สัปดาห์ เด็กที่ป่วยเป็นหัด ให้แยกออกจากเด็กอื่น ๆ ประมาณ 1 สัปดาห์


อากาศหนาว


โรคหัดเยอรมัน เป็นได้ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กเล็ก มีอาการไข้ ออกผื่นคล้ายโรคหัด บางรายอาจไม่มีผื่นขึ้น หากเป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ดังนั้น ควรพบแพทย์ และหยุดงาน หรือหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์

โรคอีสุกอีใส มักจะเกิดในเด็ก เมื่อเป็นโรคนี้แล้ว จะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต อาการจะเริ่มด้วยไข้ต่ำ ๆ ต่อมา จะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสหลังมีไข้ 2-3 วัน จากนั้น ตุ่มจะเป็นหนอง และแห้งตกสะเก็ดหลุดออกเองประมาณ 5-20 วัน เด็กนักเรียนที่ป่วยควรหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ เด็กเล็กที่ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการอักเสบจากการเกาที่ผื่น

โรคอุจจาระร่วง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า โรต้าไวรัส มักจะเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ติดต่อโดยการดื่มน้ำ หรือกินอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าไป โดยเด็กจะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่เด็กบางคนอาจขาดน้ำรุนแรง หากมีเด็กในบ้านถ่ายเหลว ควรให้กินอาหารเหลวบ่อย ๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด ให้ดื่มนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสม ควรผสมนมให้เจือจางลงครึ่งหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น หากยังถ่ายบ่อยให้ผสมสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ให้ดื่มบ่อย ๆ อาการจะกลับเป็นปกติได้ภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที

ถ้าคุณทำเครื่องสำอางหกที่โต๊ะเครื่องแป้ง

บางครั้งคุณอาจจะปัดถูขวดเครื่องสำอางหกบนโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นไม้ ต้องรีบเช็ดออกทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้โต๊ะเป็นสีด่างหรือ ลอกได้ ทางที่ดีควรมีผ้าปูตะเครื่องแป้งซึ่งให้ทั้งความสวยงามและถอดออกมาซักได้อีกด้วย

ถ้าปากขวดเลอะครีมเพราะเทบ่อยให้เช็ดออกให้สะอาดทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ยาเปลี่ยนสภาพ

เครื่องสำอางที่บรรจุในหลอด

ประเภทโฟมล้างหน้า หรือครีมบางชนิดที่บรรจุอยู่ในหลอดพลาสติก เวลาใกล้จะหมดจะบีบไม่ออก ควรตั้งไว้โดยเอาฝาลงจะทำให้บีบออกได้หมด

การใช้เครื่องสำอางชนิดแท่ง

เช่น ลิปสติกทาปาก เวลาทาไม่ควรหมุนออกมามากเกินไป เพราะอาจทำให้หักทันที ดังนั้นจึงควรหมุนออกมาประมาณ 1-1.5 ซม. หรือจะใช้พู่กันก็ได้ถ้าไม่มีทำโดยตรง ส่วนที่เหลือติดกันถ้าเสียดาย ให้ใช้พู่กันจะทำให้ได้ใช้ลิปสติกเต็มทั้งแท่งอย่างคุ้มค่า หรือควักออกมาใส่ตลับจะใช้ได้อีกนาน ควรเลือกใช้ของที่มีคุณภาพดีเพื่อป้องกันริมฝีปากไม่ให้ดำม่วงและแห้ง

สำหรับผู้ที่ต้องใส่แว่นตา

เนื่องจากกรอบแว่นตาส่วนใหญ่ทำจากพลาสติก หรือเงินชุบ หรือทองเค ทองเหลือง เป็นต้น เวลาใช้เคเรื่องสำอางประเภทโลชั่น ซึ่งมีแอลกอฮอล์เจือปนอยู่หรือสเปรย์ อาจทำให้ลอกหรือเปลี่ยนสีได้จึงควรระวัง หรือถ้าถูกให้รีบเช็ดทันที มิฉะนั้นอาจลอกและเปลี่ยนสีภายหลังได้

ต้องปิดฝาให้แน่นทุกครั้งหลังใช้

หลังจากที่เปิดขวดหรือกระปุกใช้แล้วทุกครั้ง อย่าลืมปิดฝาให้แน่น เพราะถ้าเปิดทิ้งไว้หรือปิดไม่แน่น อาจทำให้อากาศเข้าไปซึ่งในอากาศนั้นอาจมีเชื้อโรคบางชนิดปะปนกับฝุ่นละอองที่จะเข้าไปอยู่ในครีม โดยที่เราจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้เปลี่ยนสภาพและกลิ่นได้ ทำให้กลิ่นที่หอมกลายเป็นกลิ่นเหม็นหื่นขึ้นมาได้ และถ้าเปลี่ยนสภาพก็จะทำให้คุณภาพของสินค้านั้นลดประสิทธิภาพลงได้ เกิดอาการแพ้ได้

เครื่องสำอางที่ไวไฟ

เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ จำพวกน้ำหอม โลชั่นใส่ผม ยาล้างเล็บ หรือชนิดใช้ฉีด จะไวต่อไฟมากเวลาใช้จึงไม่ควรฉีดในที่ที่มีไฟ หรือใกล้เตา เป็นต้น

เมื่อเปิดแล้วควรใช้ให้หมด ต่อเนื่องกัน

เครื่องสำอางทุกชิ้น เมื่อเปิดออกใช้แล้วควรใช้ให้หมดไม่ควรใช้ครึ่งๆ กลางๆ ถ้าต้องการให้เครื่องสำอางที่ใช้เกิดผลตามที่ต้องการ เมื่อเปิดใช้แล้วก็ควรใช้ให้หมด นอกจากจะมีอาการแพ้ ไม่ควรใช้เพียง 2-3 ครั้ง แล้วทิ้งไว้โดยไม่ใช้ต่อเนื่อง อีกประการหนึ่ง ถ้าเปิดใช้แล้วทิ้งไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเย็นจัดหรือร้อนจัดโดยไม่สนใจเครื่องสำอางอาจเปลี่ยนสภาพไป อาจเกิดการแยกตัว เช่น น้ำมันลอยตัวขึ้นมาก็ได้ จึงควรใช้ให้หมดเมื่อได้เปิดออกแล้ว ปิดฝาให้แน่นหลังใช้ และอย่าเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิร้อนจัดหรือเย็นจัด

ไม่ควรวางไว้ที่ที่เด็กเล็กหยิบถึง

เด็กเล็กทุกคนกำลังอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็น ฉะนั้นจะมีความสนใจในสิ่งของที่แปลกตา โดยจะเห็นเป็นของเล่นไปหมด และจะชอบมากที่จะเอามาละเลงเล่นไม่ว่าจะเป็นชนิดแป้งฝุ่น ครีม หรือโลชั่นน้ำนม เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีอันตรายถึงจะรับประทานเข้าไปก็ตาม แต่ถ้าเป็นแป้งหรือครีมเมื่อเข้าตาก็อาจทำให้ระคายเคืองและทำให้เด็กงอแงร้องไห้ อีกประการหนึ่ง เด็กอาจเอากระป๋องฉีดสเปรย์ที่มีส่วนผสมของแล็กเกอร์ไปเล่นและโยนเข้าไปในกองไฟหรือที่ที่มีความร้อนสูงซึ่งอาจเกิดระเบิดขึ้นก็ได้ ถึงจะไม่เกิดขึ้นบ่อยก็ตาม ก็ควรกันไว้ดีกว่าแก้

ในกรณีที่เด็กกินครีมบำรุงผิวหรือโลชั่นต่างๆ เข้าไป ไม่ต้องตกใจ ให้รีบดื่มน้ำ หรือนม หรือน้ำหวานที่จะไปปนให้เจือจางในท้องก็เป็นวิธีที่แก้ฉับพลันวิธีหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่จะไม่มีอันตรายถึงชีวิตเพียงแต่ทำให้สะอิดสะเอียนเท่านั้น

พัฟที่ติดอยู่ในตลับแป้ง

พัฟที่อยู่ในตลับแป้งจะมีกระดาษแก้ว รองอยู่ เวลาเปิดใช้ไม่ควรทิ้งกระดาษแก้วแผ่นนั้น เพราะมีไว้สำหรับรองพัฟ เนื่องจากพัฟที่เราใช้ซับแป้งทาหน้า อาจมีน้ำมันปนอยู่หลังใช้ เมื่อสะสมมากถ้าวางไว้บนแป้งโดยไม่มีกระดาษแก้วรองรับ อาจทำให้น้ำมันและสิ่งสกปรกติดสะสมอยู่ในพัฟซึมเข้าไปในเนื้อแป้ง ทำให้เนื้อแป้งแข็งตัว หรือเปลี่ยนสี ทาไม่ออก จึงควรเอาพัฟไว้บนแผ่นกระดาษแก้วใสทุกครั้ง อย่าลืมเอาพัฟมาซัก ตากแดด เพื่อล้างคราบน้ำมัน สิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่กับพัฟออก เวลาทาจะได้มีแป้งที่แท้จริง ป้องกันไม่ให้เป็นสิวเสี้ยนอุดตันอีกด้วย

ระวังอย่าให้เข้าตา

เวลาสระผม นวดผม หรือเวลาใช้โลชั่นใส่ผมต่างๆ แมแต่อายไลเนอร์มาสคาร่า ถ้าไม่ระวังอาจเข้าตาได้ แต่ไม่ต้องตกใจ ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาด โดยเฉพาะถ้าเป็นยาย้อมผม หรือยากำจัดขน ถ้าเข้าตา โดยความประมาท เมื่อล้างน้ำยังไม่ออก หมดและระคายเคืองตา ควรรีบไปหาจักษุแพทย์รักษา ไม่ควรปล่อยไว้ เพราะดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางมาก

ไม่ควรไว้ในที่ที่ถูกแสงแดดโดยตรง

ไม่ควรเอาเครื่องสำอางทุกชนิดตั้งไว้ในที่ที่แสงแดดส่องถึงโดยตรง เช่น ตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งที่ติดหน้าต่างที่แสงแดดส่องถึงเพราะอาจทำให้เปลี่ยนสีและเปลี่ยนกลิ่นซึ่งผลสุดท้ายอาจเปลี่ยนสภาพก็ได้

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เพื่อนๆ เวลาอ่านหนังสือเรียน คงมีความรู้สึกเบื่อ ง่วง เร็วมากใช่มั้ยล่ะ
วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับการอ่านหนังสือ เรียนให้ไม่เบื่อมาบอกไปลองทำดูนะ

  • เวลาอ่านหนังสือห้ามเปิดคอม เด็ดขาดจะทำให้ใจเราวอกแวกคิดแต่จะเล่น คอม
  • หากอ่านหนังสือแล้วเบื่อก็อย่าไปเปิดคอม ให้เปลี่ยนวิชา หรือเรื่องที่อ่านก่อน และสับวนไปมาเรื่อยๆ จะลดความเบื่อได้
  • นอนเยอะๆ เพื่อเวลาอ่านจะได้ไม่ง่วง
  • ห้ามคิดเกลียดวิชาหนึ่งๆ เด็ดขาดเพราะหากเกลียดแล้วย่อมเบื่อ ไม่อยากอ่านแน่
  • ก่อนสอบให้นอนเยอะๆ หัวจะได้แล่นวันสอบ ไม่ใช่ไปทุ่มเอาวันก่อนสอบอย่างเ้ดียว ต้องค่อยๆทยอยอ่าน

หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆนะครับ ใครมีเทคนิคการอ่านหนังสืออื่นๆ หรือบทความดีๆ อยากจะแบ่งปันก็เม้นได้ตามชอบเลย

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เตือนภัยอันตรายจากสารพัดขนม


ขนม


เตือนภัย อันตรายจากขนมปัง (Woman's Story)
นั่นเพราะนักวิจัยมีการค้นพบว่า ขนมกรุบกรอบกว่า 700 ชนิดสารพัดยี่ห้อที่วางขายล่อใจ มีแต่ส่วนผสมประเภทหวานจัด มันเยิ้ม เค็มจัด ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ โดยเฉพาะขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน เพราะเพียงแค่ชิ้นเดียวให้พลังงานเกินกว่าความต้องการของร่างกาย อีกทั้งยังพบเด็กไทยกำลังมีปัญหาไขมัน น้ำตาลผิดปกติ ซึ่งเป็นผลจากความอ้วน
ทั้งนี้ จากการที่ได้นำขนมและอาหารว่างประมาณ 700 ตัวอย่างมาวิเคราะห์จากฉลากโภชนาการ และส่วนประกอบเพื่อให้ทราบคุณค่าทางโภชนาการ พบว่ามีเพียง 10% ของขนมทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์โภชนาการ แต่ก็ไม่ได้ผ่านทั้งหมด เพราะใน 10% นั้นบางอย่างก็เค็มเกินไป หวานเกินไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มลูกอม หมากฝรั่ง เยลลี่ พบมีน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่น ๆ เป็นส่วนผสมจำนวนมาก

2. กลุ่มช็อกโกแลต มีไขมันกับน้ำตาลในปริมาณสูง

3. กลุ่มถั่วและเมล็ดพืช มีไขมันและโซเดียมมาก

4. กลุ่มปลาเส้นปรุงรสต่าง ๆ ปลาอบกรอบ แม้จะมีโปรตีน แต่มีโซเดียมสูง ยิ่งปรุงรสเข้มข้นก็ยิ่งมีโซเดียมมาก

5. กลุ่มมันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ ข้าวอบกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ แป้งทอด จะเต็มไปด้วยโซเดียมและไขมัน


มันฝรั่งทอด

นอกจากขนมกรุบกรอบแล้ว ยังมีขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อขนมปัง 1 ก้อน ให้พลังงานสูง 600 กิโลแคลอรี เมื่อเทียบปริมาณที่ควร ได้รับอยู่ที่ 200 กิโลแคลอรีต่อวัน

อย่างไรก็ตาม อาหารจำพวกขนมกรุบกรอบกว่า 90% มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก และเต็มไปด้วยสารอาหารที่เกินพอดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อทานต่อเนื่องจะทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และส่วนประกอบหลักของขนมกรุบกรอบประเภทแป้ง ทำให้เด็กได้รับคาร์โบไฮเดรตสูง กลายเป็นเด็กอ้วน ฟันผุ อนาคตเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ

อีกทั้งยังพบว่า ปัจจุบันเด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังมีปัญหา "เมตาบอลิคซินโดรม" คือมีเมตาบอลิซึมผิดปกติ มีความดันโลหิตสูง ไขมันผิดปกติ น้ำตาลผิดปกติ สัมพันธ์กับภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน เป็นผลจากความอ้วน และมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ง่าย

ฉะนั้น ควรหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันให้มากขึ้นแล้วละคะ เน้นการกินผัก ผลไม้ อาหารปรุงเอง จะดีและปลอดภัยที่สุดค่ะ

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553


สมาธิ

คยไหม? บางครั้งที่เราเจอปัญหา หรืออะไรมาสะกิดใจเพียงนิดเดียว ก็เกิดอาการควบคุมจิตใจไม่ได้ เกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวาย มีเรื่องรบกวนไปเสียหมด นั่นเพราะไม่เคยรับการบำบัดทางจิต หรือลองฝึกสมาธิมาก่อน หลายคนที่เคยลองฝึกจิต หรือฝึกสมาธิ จะสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีกว่าคนอื่น ๆ และยังมีสติ ทำอะไรด้วยความไม่ประมาทด้วย.....

วันนี้ เราขอชวนเพื่อน ๆ มาลองฝึกสมาธิเบื้องต้นกันดู ซึ่งโดยปกติแล้ว "สมาธิ" มีหลายประเภทแต่สมาธิที่ฝึกง่ายที่สุด ประหยัดเวลา และได้ผลที่สุดตามที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ปฏิบัติ ก็คือ "อานาปานสติ"หรือการกำหนดลมหายใจเข้าออก ที่เราส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินกันมาบ้างแล้วนั่นเอง โดยหลักการฝึกสมาธิเบื้องต้นแบบง่าย ๆ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

ก่อนฝึกสมาธิ

- ควรอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก่อน เพื่อให้ตัวรู้สึกสบายมากที่สุด เมื่อร่างกายสงบ จิตใจจะสงบได้ง่ายขึ้น

- หาสถานที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่านจอแจ อากาศถ่ายเท เย็นสบาย เพื่อให้เข้าถึงสมาธิได้เร็วมากขึ้น

- พยายามตัดความกังวลทุกอย่างออกไป เช่น ควรจัดการงานที่คั่งค้างอยู่ในเสร็จก่อนเริ่มทำสมาธิ เพื่อไม่ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง

- อย่าตั้งใจมากเกินไป ว่าจะต้องให้ได้ขั้นนั้น ขั้นนี้ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความเคร่งเครียดมากขึ้น จิตใจจะพะวงไปแต่อนาคต ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้อยู่ ณ ปัจจุบัน
ขณะฝึกสมาธิควรปฏิบัติดังนี้

1. กราบบูชาพระรัตนตรัย ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจ

2.ควรนั่งทำสมาธิในท่าขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ขวาจรดนิ้วหัวแม่มือซ้าย วางไว้บนตัก หลังตรง ศีรษะตรง ไม่ควรนั่งพิง เพราะจะทำให้ง่วงได้ง่าย กรณีเป็นคนป่วย หรือคนที่ไม่สามารถนั่งท่าขัดสมาธิได้ ก็สามารถนั่งบนเก้าอี้แทนได้ จากนั้นทอดตาลงต่ำ อย่าเกร็ง เพราะจะทำให้ร่างกายปวดเมื่อย แล้วค่อย ๆ หลับตาลง

3.ส่งจิตไปให้ทั่วร่างกาย ว่ามีกล้ามเนื้อส่วนใดเกร็งอยู่หรือไม่ แล้วค่อย ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้น พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ลึก ๆ มี "สติ" อยู่กับลมหายใจ ตรงจุดที่ลมกระทบปลายจมูก

4.เมื่อเริ่มฝึกสมาธิใหม่ ๆ ควรใช้เวลาแต่น้อยก่อน เช่น 5-15 นาที จากนั้นเมื่อฝึกบ่อย ๆ แล้วจึงค่อยเพิ่มระยะเวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจค่อย ๆ ปรับตัวตาม หากรู้สึกปวดขา หรือเป็นเหน็บ ให้พยายามอดทนให้มากที่สุด หากทนไม่ไหวจึงค่อยขยับ แต่ควรขยับให้น้อยที่สุด เพราะการขยับแต่ละครั้งจะทำให้จิตใจกวัดแกว่ง ทำให้สมาธิเคลื่อนได้ แต่ถ้าหากอดทนจนอาการปวด หรือเป็นเหน็บเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการเหล่านั้นจะหายไปเอง แล้วจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่

5. หากเกิดเสียงดังขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนพูด เสียงสิ่งของกระทบกัน ให้ถือว่าไม่ได้ยินอะไร และอย่าไปใส่ใจกับมัน

6.หากเกิดอะไรขึ้นอย่าตกใจ และอย่ากลัว เพราะทั้งหมดเป็นอาการของจิตที่เกิดขึ้น ให้ตั้งสติเอาไว้ในมั่นคง ทำจิตใจให้ปกติ หากเห็นภาพที่น่ากลัวให้สวดแผ่เมตตาให้สิ่งเหล่านั้น หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรายึดไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าภาพเหล่านั้นไม่หายไป ให้ตั้งสติเอาไว้ หายใจยาว ๆ แล้วถอนสมาธิออกมา เมื่อจิตใจมั่นคงเป็นปกติแล้ว จึงค่อยทำสมาธิใหม่อีกครั้ง โดยควรสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองการปฏิบัติของเราด้วย

7.เมื่อจะออกจากสมาธิ ให้สังเกตดูว่า ใจของเราเป็นอย่างไร แล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย อุทิศส่วนกุศลที่ได้จากการทำสมาธินั้นให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณของเรา แล้วหายใจยาว ๆ ลึก สัก 3 รอบ ก่อนค่อย ๆ ถอนสมาธิช้า ๆ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เบื่อกับการออกกำลังกายแบบเดิม ๆ รึเปล่า ลองเปลี่ยนสไตล์ด้วยการหากิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อจูงใจให้คุณลุกขึ้นมาปฏิวัติเรือนร่างตัวเองอีกครั้ง

1.แอโรบิกในน้ำ

เป็นวิธีออกกำลังกายที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำจะช่วยลดแรงกระแทกจากการออกกำลังกาย ขณะเดียวกันแรงต้านของน้ำก็จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อและจะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ดี

2.พิลาทีส

เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์ของโยคะและยิมนาสติก การฝึกพิลาทีสอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้กล้ามเนื้อเรียวสวยและแข็งแรงขึ้น สัดส่วนกระชับ ที่สำคัญหน้าท้องแบนราบด้วย

3.โยคะ

การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง เปลี่ยนให้จิตใจสงบ มีสมาธิ และเหนือสิ่งอื่นใดยังทำให้รูปร่างกระชับ เพรียวสวย และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

4.บอดี้คอมแบต

สำหรับคนที่หลงใหลศิลปะการต่อสู้และเสียงเพลงน่าจะชื่นชอบกิจกรรมนี้ เต้นบอดี้คอมแบตหนึ่งชั่วโมงทำให้ได้เคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน เผาผลาญแคลอรีและขับเหงื่อได้เป็นอย่างดี

5.ฟิตบอล

การออกกำลังกายด้วยการใช้ลูกบอลรองรับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ขา แผ่นหลัง สะโพก หรือหน้าท้อง จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้เคลื่อนไหว ส่งผลให้รูปร่างกระชับได้สัดส่วนสวย

อดนอน
วิธีทดแทนพลังงาน


มีวิธีดูแลร่างกายสำหรับคนอดนอน แนะนำจาก พ.ญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ความว่า ก่อนอื่นต้องยอมรับเสียก่อนว่าคนเราต้องนอนหลับในยามกลางคืน ไม่ใช่กลางวัน เพราะฮอร์โมนในร่างกายถูกธรรมชาติจัดสรรมาอย่างนั้น ในเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียล หรือต่อมเหนือสมอง จะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ากระฉับ กระเฉงเพื่อกิจกรรมดำเนินในยามกลางวัน

ราวๆ 4-5 โมงเย็น ตอนแสงสว่างลดลง ซีโรโตนินก็จะลดระดับลงเพื่อเตรียมให้ร่างกายได้พัก ในขณะเดียวกันต่อมไพเนียลก็หลั่งฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งชื่อเมลาโตนินออกมา ระดับเมลาโตนินในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ง่วงนอนในกลางคืน พอถึงประมาณตี 2 เมลาโตนินจะเริ่มลดระดับลง และซีโรโตนินก็จะถูกหลั่งออกมาในยามเช้ามืด พอดีเช้าเมลาโตนินหายไป ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นมาได้ระดับเราก็ตื่นพอดี หากอดนอนก็เท่ากับฝืนวัฏจักรของฮอร์โมนตามธรรมชาตินี้ และว่ากันว่าทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้ป่วยได้ง่าย


ทางแก้หากต้องอดนอน มีดังนี้

1.กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซี เพราะเวลาอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วน ทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆ จึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมาก ดังนั้นในระยะนี้ต้องกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสด น้ำส้มคั้นสดๆ หากกินอาหารประเภทดังกล่าวไม่ได้ ให้ใช้วิตามินบี 100 วันละ 1 เม็ด และกินวิตามินซี 1,000 ม.ก. วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า

2.ถึงกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเอง เพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ช.ม.เท่านั้น หากกินอาหารเย็น 6 โมง ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้ว จะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไป ทั้งนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืช จะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก และมีอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียว กล้วย หากเลือกกินยามดึกได้จะทำให้นอนเร็วกว่า

3.ควรนอนทันทีหลังจากเสร็จจากดูบอล หรือดูหนังสือ ไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้านเพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อย และควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมง สุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดี


4.ไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟ หรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมง หากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอ หากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่นมาดูหนังสือหรือดูโทรทัศน์เอาตอนดึก

5.ตื่นเช้าหลังจากอดนอน ควรกระตุ้นตนเองให้กระปรี้กระเปร่าด้วยวิตามินดังที่ได้กล่าวแล้ว หรือจะใช้โสมกินร่วมด้วยก็ดีกว่าดื่มกาแฟ เพราะการใช้วิตามินกับโสมจะทำให้สมองปลอดโปร่งกว่ากินกาแฟ

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

มารู้จักกับ FBI (เอฟบีไอ)
ดูเท่ไหม?.. เวลาที่ตำรวจในหนังฮอลลีวูดพูดว่า.. "หยุดอย่าขยับนี่เจ้าหน้าที่ FBI"
เจ้าหน้าที่ FBI ก็คือตำรวจประเภทหนึ่ง แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ ว่าเจ้าหน้าที่ FBI
คือตำรวจอะไร?

FBI นั้นย่อมาจาก Federal Bureau of In vestigation เป็นหน่วยสืบสวน
คดีอาญาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1908
ชื่อเดิมคือ Bureau of Investigation

ในปี ค.ศ. 1924 ได้มีการปรับปรุงหน่วยงานขึ้นใหม่ และได้กำหนดนโยบาย
ของหน่วยงานที่ชัดเจนขึ้น และในปี ค.ศ. 1935 เปลี่ยนชื่อเป็น Federal Bureau
of In vestigation (ซื่อเดียวกับปัจจุบัน)

ีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (Washington, D.C.) และยังมี
สำนักงานอยู่ตามเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีก 58 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกา
และเปอร์โตริโก

หน้าที่หลัก คือ สอบสวน และสืบสวนคดีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เช่น การละเมิด
กฏหมายของรัฐบาลกลาง การก่อวินาศกรรม การก่อการร้าย เป็นต้น

เอฟบีไอมีหน่วยรวบรวมรูปพรรณบุคคล (Identification Division) และได้ตั้ง
ระบบรายงานอาชญากรรม (Criminal Report System) ซึ่งเน้นการนำหลัก
วิทยาศาสตร์ มาใช้ในการสืบสวน สอบสวน และหาพยานหลักฐาน นอกจากนั้น ยังม
ีห้องปฏิบัติการทางด้านเคมีเพื่อใช้ในการพิสูจน์หลักฐานประกอบการสืบสวนอีก
ด้วย

ต่อมา ขอบเขตอำนาจของเอฟบีไอได้ขยายมากขึ้น
ตามความเจริญก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน เพราะ..
เมื่อผู้ก่อการร้ายใช้วิธีใหม่ๆ ในการก่อความไม่สงบ
FBI ก็ต้องพัฒนาให้ทันเพื่อการต่อกร จึงนับว่า
เป็นองค์กรที่ต้องเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

เพื่อความสงบสุขของประชาชนสหรัฐอเมริก

ปรุงเนื้อป้องกันมะเร็ง
เนื้อสัตว์ที่ประกอบอาหารด้วยการผ่านความร้อน เช่น อบ ย่าง ต้ม หรือทอด
จะมีสาร Heterocyclic Animes (HCAs) ส่งผลให้ผู้รับประทาน
เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ปอด ตับอ่อน เต้านม และต่อมลูกหมาก
มากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของการให้ความร้อน

สาร HCAs ลดลงได้ด้วยเครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหาร เนื่องจากงานวิจัย
ของ J. Scott Smith ศาสตราจารย์ทางเคมีอาหาร จากมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส
(Kansas) ที่ทำการวิจัยกับเครื่องเทศ 6 ชนิด คือ ยี่หร่า, เมล็ดผักชี, ข่า, กระชาย,
โรสแมรี่ และขมิ้น พบว่ามีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้สูง
ในกระชาย โรสแมรี่ และขมิ้น และสูงที่สุดในโรสแมรี่

งานวิจัยก่อนหน้านี้ยังระบุด้วยว่า เครื่องเทศไทย และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น อบเชย
ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้เช่นกัน แต่มีระดับมากน้อยแตกต่างกัน
ตามชนิดของเครื่องเทศ

แม้ว่าการประกอบอาหารเนื้อสัตว์ ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 177.78 องศาเซลเซียส
ไม่เกิน 4 นาที จะพบ HCAs น้อยมากหรือไม่พบเลย แต่ในความเป็นจริงการทำ
อาหาร 1 จาน มักใช้เวลามากกว่า 4 นาที ดังนั้น เมื่อต้องประกอบอาหารเนื้อสัตว์
หากต้องการลดความเสี่ยงในการเพิ่ม HCAs ควรใส่เครื่องเทศลงในเมนูทุกครั้ง

ปรุงเนื้อป้องกันมะเร็ง
เนื้อสัตว์ที่ประกอบอาหารด้วยการผ่านความร้อน เช่น อบ ย่าง ต้ม หรือทอด
จะมีสาร Heterocyclic Animes (HCAs) ส่งผลให้ผู้รับประทาน
เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ปอด ตับอ่อน เต้านม และต่อมลูกหมาก
มากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของการให้ความร้อน

สาร HCAs ลดลงได้ด้วยเครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหาร เนื่องจากงานวิจัย
ของ J. Scott Smith ศาสตราจารย์ทางเคมีอาหาร จากมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส
(Kansas) ที่ทำการวิจัยกับเครื่องเทศ 6 ชนิด คือ ยี่หร่า, เมล็ดผักชี, ข่า, กระชาย,
โรสแมรี่ และขมิ้น พบว่ามีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้สูง
ในกระชาย โรสแมรี่ และขมิ้น และสูงที่สุดในโรสแมรี่

งานวิจัยก่อนหน้านี้ยังระบุด้วยว่า เครื่องเทศไทย และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น อบเชย
ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้เช่นกัน แต่มีระดับมากน้อยแตกต่างกัน
ตามชนิดของเครื่องเทศ

แม้ว่าการประกอบอาหารเนื้อสัตว์ ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 177.78 องศาเซลเซียส
ไม่เกิน 4 นาที จะพบ HCAs น้อยมากหรือไม่พบเลย แต่ในความเป็นจริงการทำ
อาหาร 1 จาน มักใช้เวลามากกว่า 4 นาที ดังนั้น เมื่อต้องประกอบอาหารเนื้อสัตว์
หากต้องการลดความเสี่ยงในการเพิ่ม HCAs ควรใส่เครื่องเทศลงในเมนูทุกครั้ง

ถ้าหากจะพูดถึงยาสามัญประจำบ้าน “พาราเซตามอล” ถือว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านที่เรารู้จักกันเป็นดี เรียกว่าแทบจะทุกบ้านต้องมีติดบ้านไว้ เพราะรักษาอาการเจ็บป่วย ปวดหัวตัวร้อนได้กับทุกเพศทุกวัย แถมยังเป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ง่าย

ในแต่ละปี สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่ได้รับรายงาน ความเป็นพิษจากยาพาราเซตามอลประมาณ 100,000 ราย ถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน 56,000 ราย ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 26,000 ราย การใช้พาราเซตามอลเป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งไตเพิ่มขึ้นเท่าตัว ซึ่งโรคนี้คร่าชีวิตคนอเมริกัน 12,000 ราย ต่อปี อุบัติการณ์ในการเกิดมะเร็งไตในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 126% นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา การก้าวกระโดดของการเกิดโรคนี้อาจจะเกี่ยวโยงกับการใช้ยาที่ผสมพาราเซตามอลเพิ่มขึ้น เนื่องจากอนุมูลอิสระจาก toxic metabolite ของพราราเซตามอลกระจายไปทั่วร่างกาย เพราะฉะนั้นก็สามาารถทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความแก่ชราอย่างอื่นได้อีก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองในสัตว์พบว่าพาราเซตามอลทำให้เกิดต้อกระจกในสัตว์ทดลองได้


สำหรับภาวะพิษจากพาราเซตามอลเกิดขึ้นได้จากเหตุโดยตั้งใจ คือการรับประทานยาเกินขนาดเพื่ออัตวินิบาตกรรม และโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

1. รับประทานยาชนิดอื่นที่มีส่วนผสมของราราเซตามอลโาดยไม่ทราบ แล้วรับประทานพาราเซตามอลเข้าไปอีก เนื่องจากปัจจุบันยาหลายชนิดมีส่วนผสมของพาราเซตามอล เช่น ยาบรรเทาหวัดลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อหลายชนิด

2. ปัจจัยเฉพาะบุคคลที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตับได้ง่าย เช่นในผู้ที่ดื่มสุรา ผู้ป่วยโรคตับภาวะขาดสารอาหารซึ่งส่งผลให้ระดับกลูต้าไธโอนลดลง ในกลุ่มนี้ก่อให้เกิดพิษจากพาราเซตามอลได้ง่าย แม้ว่าจะรับประทานในขนาดปกติก็ตาม

3. การใช้ยาร่วมกัน โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ในระบบขับสารพิษชื่อ CYP450 2E1 ในตับเช่นยา phenytoin, carbamazepine, rifampin เป็นต้น

ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้พาราเซตามอล ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง พิษสุรา ภาวะขาดสารอาหาร และในผู้ที่กำลังรับประทานยาที่กระตุ้นเหนี่ยวนำเอนไซม์ cytochrome P450 2E1 ...ห้ามทานพาราเซตามอลแล้วดื่มสุรา หากกำลังใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาบรรเทาหวัด ให้อ่านฉลากให้ดีว่ามีส่วนผสมของพาราเซตามอลหรือไม่ และไม่รับประทานซ้ำซ้อนข้าไปอีก

และที่สำคัญไม่ควรใช้ยานี้เกินวันละ 2,600 มิลลิกรัม (ประมาณ 5 เม็ด ในขนาด 500 mg , จำนวน 8 เม็ดในขนาด 325 มิลลิกรัม) ขนาดรับประทานคือ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม สูงสุดไม่เกินครั้งละ 650 มิลลิกรัม ส่วนการใช้ยาพาราเซตามอลกับเด็กเล็กๆ นั้นให้ดูฉลาก และคำนวณความต้องการให้ถูกต้องก่อนเสมอ เพราะยาน้ำนี้ในประเทศไทยมีหลายขนาด ปริมาณมิลลิกรัมต่อหนึ่งช้อนชาแตกต่างกันไป

อีกข้อห้ามที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือ ไม่ควรใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันเกิน 3 วัน เราสามารถใช้ยาทางเลือกแทนการใช้ยาพาราเซตามอลได้ เช่น ยาเขียวแก้ไข้ ยาจันทลีลา ยาฟ้าทะลายโจร ยาขมชนิดต่างๆ ล้วนมีฤทธิ์ลดไข้ได้เช่นกัน


วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553



ประโยชน์สุดแจ่มของ ยาสีฟัน (ลิซ่า)

นอก จากจะทำให้ฟันสะอาดสดใสแล้ว ยาสีฟันยังใช้งานได้อย่างวิเศษกับของอย่างอื่นที่ไม่ใช่ฟันด้วยล่ะ และนี่คือการใช้ยาสีฟันแบบสีขาว (เว้นแต่บอกไว้อย่างอื่น) กับงานต่าง ๆ รอบบ้านและรอบตัวคุณ

1. บรรเทาอาการระคายเคืองจากแมลงกัดต่อยหรือแผลพุพอง ทายาสีฟันลงไปบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยโดยตรง มันจะบรรเทาอาการคันและลดความบวมลงได้ ส่วนแผลพุพองยาสีฟันจะทำให้แผลแห้งและหายเร็วขึ้น โดยควรทาทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

2. บรรเทาแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก สำหรับแผลเล็กน้อยที่ไม่มีรอยเปิด ยาสีฟันจะให้ความเย็นที่ช่วยบรรเทาอาการได้ โดยต้องทาลงไปทันทีหลังเกิดรอยแผล

3. กำจัดสิว อยากให้สิวหายเร็วขึ้นงั้นหรือ? ลองทายาสีฟันลงบนสิวแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกในตอนเช้าสิ สิวจะยุบลงและหายเร็วขึ้น

4. ทำความสะอาดเล็บ ทั้งเล็บและฟันมีส่วนประกอบของกระดูกเหมือนกัน ยาสีฟัน จึงดีกับเล็บเช่นกันเพราะฉะนั้นอย่าลืมใช้แปรงและยาสีฟันขัดเล็บเป็นประจำ เพื่อช่วยให้เล็บสะอาดเป็นเงางาม และแข็งแรงขึ้น

5. ทำให้ผมอยู่ทรง ยาสีฟันแบบเจลมีส่วนผสมของโพลีเมอร์ที่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนผสมแบบเดียวกับที่เจลแต่งผมส่วนใหญ่ใช้ ฉะนั้น ถ้าคุณมองหาอะไรที่จะสร้างสรรค์ผมซึ่งต้องการความอยู่ตัวแบบสุด ๆ แต่เจลแต่งผมเกิดขาดมือ ลองใช้ยาสีฟันแบบเจลแทนก็ได้

6. กำจัดกลิ่นเหม็น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกระเทียม หัวหอม ปลา หรืออาหารกลิ่นแรงอื่น ๆ ที่ติดอยู่บนมือ ลองใช้ยาสีฟันถูมือ มันจะช่วยกำจัดกลิ่นพวกนี้ได้

7. กำจัดรอยเปื้อน รอยเปื้อนที่กำจัดยากบนเสื้อผ้าหรือพรม ยาสีฟันสามารถช่วยได้สำหรับเสื้อผ้า ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนโดยตรงและขยี้เบา ๆ จนกระทั่งรอยเปื้อนหายไป แล้วซักตามปกติ (แต่ควรระวัง ถ้าใช้ยาสีฟันแบบไวเทนนิ่งบนผ้าสีอาจทำให้สีผ้าซีดลงได้) สำหรับรอยเปื้อนบนพรม ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อน ใช้แปรงขัดจนรอยเปื้อนจางลง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

8. ชุบชีวิตรองเท้าเก่า ทำความสะอาดรองเท้าวิ่งที่สกปรกมอมแมม แต่ซักน้ำไม่ได้ ด้วยการทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนแล้วขัดเบา ๆ จากนั้น เช็ดให้สะอาด

9. กำจัดรอยสีเทียนบนผนัง ใช้ผ้าชุบน้ำพอชื้น ๆ กับยาสีฟันขัดเบา ๆ บนรอยเปื้อน

10. ทำความสะอาดเครื่องประดับเงิน ทายาสีฟันลงบนเครื่องประดับเงิน แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นใช้ผ้าสะอาด ๆ เช็ดออกในตอนเช้า ส่วนเครื่องประดับที่เป็นเพชร ก็สามารถใช้แปรงนุ่ม ๆ ยาสีฟันเล็กน้อย และน้ำขัดเบา ๆ ให้แวววาวดังเก่าได้ แต่อย่าใช้กับมุกเพราะจะทำให้เคลือบผิวเสียหายได้