วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 สุภาษิต อังกฤษ-ไทย แบบเท่ห์ๆ

Self-conquest is the greats of victory.

การชนะใจตนเอง คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

Blood is thicker than water.

เลือดข้นกว่าน้ำ

Heaven never helps the men who will not act.

สวรรค์ไม่เคยช่วยบุคคลผู้ซึ่งไม่ทำงาน

Time and tide wait for no man.

เวลาและกระแสน้ำไม่คอยใคร

Never too late to learn.

ไม่สายเกินไปที่จะเรียนรู้

Manners maketh man.

กิริยามารยาท ทำให้คนเป็นคน

If at first you don't succeed, try, try, try again.
หากครั้งแรกไม่สำเร็จ พยายาม พยายาม พยายามอีกครั้ง

Don't meet troubles half-way.
อย่าเผชิญปัญหาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

Better be a fool than a knave.
เป็นคนโง่ดีกว่าเป็นคนโกง

Every man to his trade.
ทุกคนมีความถนัดของตนเอง


วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี

ช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ใครที่กำลังเป็นทุกข์ ทั้งทางกายและทางใจ และกำลังมองหาหนทางในการก้าวไปสู่การดับความทรมานใจนั้นๆ ลองปรับทัศนะของชีวิต ด้วยแนวคิดเชิงบวก ข้อคิดดีๆ จาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี

ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง ได้ให้ข้อคิดในหลักธรรมแห่งการดำเนินชีวิต ในหนังสือชุด “มหัศจรรย์แห่งชีวิต” ประกอบด้วย ซีดี และหนังสือรวบรวมแนวคิด ซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านสามารถนำข้อคิดที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อบรรเทาความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ปัจจุบัน กับภาวะเครียดที่รุมเร้าคนไทย ทั้งวิกฤตการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ

สำหรับ 7 หลักคิดในเชิงบวก ที่สามารถหยิบมาเป็นยาชูกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยใน 7 หลักคิด มีข้อคิดดีๆ อีก 7 ข้อ เป็นพลังมหัศจรรย์ของ 7x7 ได้แก่

1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม”

2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์

3. ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา

4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง

5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ

6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวตลาดน้ำอัมพวายามเย็น ก่อนลงเรือพาย ชมหิ่งห้อย ณ คลองผีหลอก

ทั่วโลกมีหิ่งห้อยประมาณ 2,000 ชนิด
ตลาดน้ำอัมพวา
ตลาดน้ำอัมพวายามเย็น

เมื่อเอ่ยถึง "หิ่งห้อย" เราเกือบจะลืมหน้าตาของเจ้าแมลงพวกนี้ไปเสียแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่เราเห็นพวกมันหากย้อนกลับไปก็เป็นเวลาเกือบสิบปี เพราะฉะนั้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้เรากับเพื่อนจึงตั้งใจกันว่าจะไปชมหิ่งห้อยให้หายคิดถึงกันเสียที จุดมุ่งหมายในการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้จึงอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 63 กิโลเมตร

เราออกเดินทางจากกรุงเทพในช่วงประมาณบ่าย 3 โมง ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงเศษก็ถึงอำเภออัมพวา พวกเราจึงแวะรับประทานอาหารที่ตลาดน้ำยามเย็นของอำเภออัมพวา ตลาดน้ำแห่งนี้จะจัดขึ้นในช่วงเวลาเย็นเรื่อยไปจนถึงพลบค่ำ อาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดน้ำแห่งแรกที่จัดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งชาวบ้านจะพายเรือทยอยนำสินค้าหลากหลายชนิดอาทิ อาหาร ผลไม้ พืชผัก ขนม ของกินของใช้ มาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือคนในท้องถิ่นที่สัญจรไปมาที่ตลาดอัมพวา ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตชุมชนริมน้ำ เป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง

หลังจากที่รับประทานอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญ พวกเราก็เดินทางไปยัง "บ้านริมคลอง" บ้านพักแบบ โฮมสเตย์ ริมคลองผีหลอก (ชื่อฟังดูน่ากลัว แต่เอาเข้าจริงบรรยากาศดีมากๆ) บ้านพักมีลักษณะแบบกระท่อมหลังคามุงจาก มีลมธรรมชาติพัดเย็นสบาย หน้าบ้านติดกับคลองมีศาลาหลังคามุงจากให้นั่งเล่นสบายๆ มองเห็นทิวทัศน์สองฝั่งคลองได้อย่างชัดเจน พอทุ่มกว่าๆ ก็ถึงเวลาของกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ของการเดินทางในครั้งนี้ นั่นก็คือการนั่งเรือชมหิ่งห้อยที่เกาะอยู่ตามต้นลำพูริมสองฝั่งคลอง พวกเราเตรียมใส่เสื้อชูชีพเพื่อลงเรือชมหิ่งห้อยที่เป็นบริการของทางบ้านพัก โดยคิดค่าบริการคนละ 100 บาท เรือที่จะพาเราไปชมหิ่งห้อยในครั้งนี้เป็นเรือแจว โดยเราลงเรือไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นอีกประมาณ 5-6 คน และมีลุงที่น่ารักอีก 2 คนพายเรือนำทางพวกเราไป


บ้านริมคลอง อัมพวา
บ้านริมคลอง บรรยากาศแบบธรรมชาติ
โฮมสเตย์ บ้านริมคลอง
บ้านพักโฮมสเตย์ หลังคามุงจาก

คืนนั้นหลังจากชมหิ่งห้อยแล้ว พวกเราก็กลับมานอนหลับฝันหวานอย่างมีความสุข รุ่งขึ้นพวกเราตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า พร้อมกับรับประทานข้าวต้มกุ้งแสนอร่อยฝีมือแม่ครัวอัมพวา ก่อนที่จะออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในตอนสาย รถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนออกจากบ้านริมคลองอันแสนสุข พวกเราเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน


ศาลาริมคลอง บ้านริมคลอง
ศาลาพักผ่อน ชมวิว ริมคลอง

เรือแจว ชมหิ่งห้อย
การใช้เรือแจวมีข้อดีตรงที่เราสามารถพายเรือเข้าไปชมหิ่งห้อยได้อย่างใกล้ชิด และไม่มีเสียงเครื่องยนต์คอยรบกวนความสงบอีกด้วย เมื่อพายเรือไปได้สักระยะ พวกเราเห็นหิ่งห้อยหลายร้อยตัวเกาะอยู่เต็มต้นลำพู พวกมันกะพริบแสงกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดหมาย มองไปแล้วคล้ายๆ โคมไฟที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ คนในเรือต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตื่นเต้น เพราะนานๆ ครั้งจะได้เห็นหิ่งห้อยเป็นจำนวนมากอย่างนี้สักที บ่อยครั้งที่เจ้าแมลงตัวน้อยบินมาเกาะอยู่ที่หลังมือของเรา เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วมันก็บินจากไป ทำให้ความรู้สึกในวัยเด็กที่เราชอบจับหิ่งห้อยมาเล่นย้อนกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าการบันทึกภาพหิ่งห้อยจะทำได้ค่อนข้างยาก แต่พวกเราทุกคนก็บันทึกภาพแห่งความประทับใจเหล่านี้เอาไว้ในความทรงจำ ระยะเวลาในการชมหิ่งห้อยประมาณหนึ่งชั่วโมงในวันนั้นจึงถือได้ว่าคุ้มค่ามากๆ สำหรับพวกเรา

มาทำความรู้จักกับหิ่งห้อยตัวน้อย

ลักษณะทั่วไปของหิ่งห้อย
หิ่งห้อย (firefly , lightening bug) แมลงแสง แมลงคาเรือง หรือ แมลงทิ้งถ่วง ทั่วโลกมีหิ่งห้อยประมาณ 2,000 ชนิด หิ่งห้อยตัวเต็มวัยเพศผู้มีปีก ส่วนเพศเมียมีทั้งปีกและไม่มีปีก บางชนิดมีปีกสั้นมาก (brachypterous) ชนิดที่ไม่มีปีก มีรูปร่างลักษณะคล้ายตัวหนอน หนอนของหิ่งห้อยเป็นตัวห้ำกินหอยฝาเดียว ไส้เดือน กิ้งกือ และแมลงตัวเล็กๆเป็นอาหาร หิ่งห้อยมีลักษณะเด่น คือสามารถทำแสงได้ทั้งระยะหนอน ดักแด้ ตัวเต็มวัย ส่วนระยะไข่ทำแสงได้เฉพาะบางชนิดเท่านั้น

การทำแสงของหิ่งห้อย
หิ่งห้อยมีอวัยะทำแสงอยู่บริเวณส่วนท้องด้านล่าง เพศผู้มีอวัยวะทำแสง 2 ปล้อง เพศเมียมี 1 ปล้อง แต่บางชนิดตัวเต็มวัยเพศเมียมีรูปร่างลักษณะคล้ายหนอนมีอวัยวะทำแสงด้านข้างของลำตัวเกือบทุกปล้อง แสงของหิ่งห้อย เกิดจากปฏิกริยาของสาร leciferin เป็นตัวเร่งปฏิกริยาและมีสาร adenosine triphosphate (atp) เป็นตัวให้พลังงาน ทำให้เกิดแสง หิ่งห้อยทำแสงเพื่อการผสมพันธุ์และสื่อสารซึ่งกันและกัน ความถี่การกะพริบแสงของหิ่งห้อยแตกต่างกันตามชนิดของหิ่งห้อย


แหล่งอาศัยของหิ่งห้อย

หิ่งห้อยมีแหล่งอาศัยแตกต่างกัน บางชนิดอาศัยอยู่บริเวณแหล่งน้ำจืด แต่บางชนิดอาศัยอยู่บริเวณน้ำกร่อย หรือป่าชายเลน และมีอีกหลายชนิดอาศัยอยู่บริเวณสวนป่าที่มีสภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ซึ่งไม่เคยถูกทำลายมาก่อน

วงจรชีวิตของหิ่งห้อย
หิ่งห้อยมีการเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis) คือมีระยะไข่ , ระยะหนอน , ระยะดักแด้ , ตัวเต็มวัย โดยเพศเมียจะวางไข่เป็นกลุ่มใต้ใบพืชน้ำ เช่น ใบจอกหรือวางไข่เป็นฟองเดี่ยวๆ ตามพื้นดินที่ชุ่มชื้น แล้วแต่ชนิดของหิ่งห้อย ไข่เมื่อฟักออกเป็นตัวหนอนมีการลอกคราบ 4-5 ครั้ง จึ่งเข้าดักแด้ แล้วออกเป็นตัวเต็มวัย

ประโยชน์ของหิ่งห้อย
1. การกะพริบแสงระยิบระยับของหิ่งห้อยจำนวนมาก ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดความสวยงามตามธรรมชาติในยามค่ำคืน สามารถจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้ เช่น การลงเรือชมหิ่งห้อยที่ จังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี และ ตราด
2. หิ่งห้อยเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ และสภาพแวดล้อม
3. ระยะหนอนของหิ่งห้อย เป็นตัวทำลายหอย ซึ่งเป็นสัตว์อาศัยตัวกลางของพยาธิที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และพยาธิใบไม้ในสำไส้คน
4. นักวิทยาศาสตร์ กำลังสนใจศึกษาค้นคว้า สารลูซิเฟอริน ในหิ่งห้อยซึ่งเชื่อว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์และ ด้านพันธุวิศวกรรม

ข้อแนะนำสำหรับการชมหิ่งห้อย

  • ช่วงเวลาหรือฤดูกาลที่เหมาะสม โดยปกติแล้วหิ่งห้อยจะมีตลอดทั้งปี แต่จะมากในฤดูร้อน และฤดูฝน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม – ตุลาคม
  • เลือกช่วงเวลาที่เป็นข้างแรม เนื่องจากแสงของหิ่งห้อยมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นเวลาข้างขึ้น ท้องฟ้าจะสว่าง ทำให้เห็นแสงของหิ่งห้อยไม่ชัดเจน จึงควรเลือกวันที่ท้องฟ้ามืดมิด
  • เลือกช่วงเวลาที่น้ำมาก จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้ทะเล น้ำจะขึ้น-ลง อยู่ตลอดเวลา ควรจะเลือกวันที่น้ำมาก เพราะเรือสามารถเข้าไปใกล้กับต้นลำพูซึ่งหิ่งห้อยเกาะอยู่ ทำให้สามารถเห็นแสงของหิ่งห้อยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
  • เลือกผู้ให้บริการ การล่องเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืน เรือจะวิ่งไปตามแม่น้ำและลำคลองที่มืด หิ่งห้อยจะมีอยู่เป็นจุดๆ ในบริเวณที่แตกต่างกัน ถ้าหากผู้ให้บริการไม่มีความชำนาญในเส้นทางและรู้แหล่งที่อยู่ หรือให้บริการในเส้นทางที่สั้นเกินไป ย่อมทำให้นักท่องเที่ยวเห็นหิ่งห้อยได้น้อย ซึ่งควรตรวจสอบระยะทางการล่องเรือชมหิ่งห้อยกับผู้ให้บริการเสียก่อน

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Poisson d’avril

วันโกหก มีเชื่อเรียกอื่นๆ อีกว่า วันเมษาหน้าโง่, วันโกหกเดือนเมษายน, วันเทศกาลคนโง่ หรือเป็นที่รู้จักอย่างสากลคือ วันเอพริล ฟูลส์ เดย์ (April’s Fool Day) เป็นเทศกาลใน วันที่ 1 เมษายน วันนี้เป็นวันที่จะอนุญาตให้โกหกต่อกันได้ โดยไม่ถือโกรธ ในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับของวันนี้ อาจมีเหตุการณ์น่าตกใจ ตื่นเต้นเป็นหัวข้อข่าว แต่แล้วในวันรุ่งขึ้นต่อมาจึงได้เฉลยว่าข่าวที่ลงไปนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ความเป็นมา

ประเทศฝรั่งเศส นยุคศตวรรษที่ 16 ตอนนั้นชาวฝรั่งเศสมีวันปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 เมษายน กระทั่งมาถึง ค.ศ.1582 สันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงกำหนดให้ชาวคริสต์ทั่วโลกฉลองวันปีใหม่พร้อมกันวันที่ 1 มกราคม

ทั้งนี้สมัยก่อน ข่าวสารไม่ได้กระจายรวดเร็วเหมือนสมัยนี้ คนบ้านนอกของฝรั่งเศสบางกลุ่มยังไม่รู้ แถมบางคนได้ยินแล้วก็ยังไม่เชื่อ จึงฉลองวัน ปีใหม่กันวันที่ 1 เมษายน เหมือนเดิม ทำให้พวกไม่ตกยุคเย้ยหยันพวกตกยุคว่า หน้าโง่ แถมยังพยายามจะแกล้งหลอกคนกลุ่มนี้เพื่อความสนุกสนานอีกด้วย

วิธีการเล่น

วันที่ 1 เมษายน จึงกลายเป็นวัน April’s Fool Day เรื่อยมา และเป็นวันทที่คนแกล้งหลอกกันด้วยการแต่งเรื่องอะไรก็ได้มาหลอกให้คนอื่นหลงเชื่อ จากนั้นค่อยเฉลยในตอนท้าย

ซึ่งเรื่องที่เอามาหลอกนั้นจะต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับเลือดตกยางออก และคนที่ถูกหลอกจะต้องไม่โกรธด้วย เพราะถือว่าให้หนึ่งวัน

วันนี้เป็นวันพิเศษ ยกเว้นให้หนึ่งวัน

ภาวะผู้นำกับการเป็นผู้บริหาร
การบริหารเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนและงาน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการบริหารงานดังนั้นจึงต้องใช้การปกครองอย่างมีศิลปะ เพื่อให้สามารถครองใจคนและได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพเกิดคุณภาพ
ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้ การดูแล การจูงใจจะต้องนำก่อนทำเป็นตัวอย่างตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรให้เป็นที่ชื่นชมยินดี

ประเภทของผู้นำ

  • ผู้นำแบบเผด็จการ เป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาดในตัวเองถือเรื่องระเบียบวินัย กฏเกณฑ์ข้อบังคับเป็นหลัก ในการดำเนินงานการตัดสินใจต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ในแง่การบริหารงานทางด้านวิชาการด้านธุรกิจจะเปรียบเสมือนกิจการที่เป็นเจ้าของบุคคลเดียว ที่มีการดำเนินการและตัดสินใจเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการเท่านั้น


  • ผู้นำแบบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในโลกปัจจุบัน ให้สิทธิ์ในการออกความคิดเห็น สิทธิในการเรียกร้อง รวมไปถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วยการเป็นประชาธิปไตยจึงเป็นลักษณะหนึ่งที่สังคมค่อนข้างจะยอมรับกันมากกว่าผู้นำประเภทอื่น ๆ


  • ผู้นำแบบตามสบาย เป็นผู้นำที่ไปเรื่อย ๆ มีความอ่อนไหวไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผู้นำที่เป็นที่รักของผู้ร่วมงานอย่างมาก ผู้นำประเภทนี้จึงมีมากมายตามแต่ละกิจกรรมต่าง ๆ บางครั้งอาจมองว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง หรือมองโลกในแง่ดีซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขยันอาจจะไม่ชอบลักษณะผู้นำประเภทนี้


  • ในทางปฏิบัติบางแห่งในตัวผู้นำอาจจะมีรูปแบบของการเป็นผู้นำทั้ง 2 ประเภทในคนเดียว อาจจะมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นออกมาแต่ละประเภท ซึ่งสามารถควบคุมการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ลักษณะการใช้อำนาจของผู้นำแตกต่างกันออกไป เพราะในตัวผู้นำแต่ละคนมีอำนาจมีอิทธิพล สามารถดำเนินการหรือสั่งการได้ตามความเหมาะสม


    การใช้อำนาจของผู้บริหารแบ่งได้ดังนี้
    1. การใช้อำนาจเด็ดขาด อาจจะเป็นในวงการทหารหรือตำรวจ จะเห็นได้อย่างเด่นชัดซึ่งจำเป็นจะต้องมีความเด็ดขาดในการสั่งการ เพราะทหาร ตำรวจ จะต้องมีวินัยในการปกครองซึ่งกันและกัน บรรดาตำรวจที่มีอาวุธอยู่ในมือด้วยแล้ว หากขาดวินัยก็จะเสมือนกับกองโจรที่สามารถกระทำผิดได้ตลอดเวลา


    2. การใช้อำนาจอย่างมีศิลปะ ผู้นำโดยทั่วไปเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความอดทนรวมไปถึงประสบการณ์ในการบังคับบัญชาคน หากการทำงานโดยเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วผลงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไป


    3. การใช้อำนาจด้วยวิธีการปรึกษาหารือ เป็นลักษณะของการใช้อำนาจวิธีการหนึ่งซึ่งใช้กันอย่างมากมาย เพราะผู้บริหารที่เปิดใจกว้างย่อมได้รับการยอมรับของผู้ร่วมงานด้วยกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการสอนงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในลักษณะการใช้อำนาจด้วยวิธีการปรึกษาหารือ


    4. การใช้อำนาจแบบมีส่วนร่วม บางคนอาจจะบอกว่าการใช้อำนาจแบบมีส่วนร่วมถือเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากผู้บริหารเปิดใจกว้าง ผลผลิตที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดแต่จะต้องขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละคน ในทางทฤษฎีแล้ว การใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมรวมถึงลักษณะของการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมนั้น ๆ