วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เตือนภัยอันตรายจากสารพัดขนม


ขนม


เตือนภัย อันตรายจากขนมปัง (Woman's Story)
นั่นเพราะนักวิจัยมีการค้นพบว่า ขนมกรุบกรอบกว่า 700 ชนิดสารพัดยี่ห้อที่วางขายล่อใจ มีแต่ส่วนผสมประเภทหวานจัด มันเยิ้ม เค็มจัด ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ โดยเฉพาะขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน เพราะเพียงแค่ชิ้นเดียวให้พลังงานเกินกว่าความต้องการของร่างกาย อีกทั้งยังพบเด็กไทยกำลังมีปัญหาไขมัน น้ำตาลผิดปกติ ซึ่งเป็นผลจากความอ้วน
ทั้งนี้ จากการที่ได้นำขนมและอาหารว่างประมาณ 700 ตัวอย่างมาวิเคราะห์จากฉลากโภชนาการ และส่วนประกอบเพื่อให้ทราบคุณค่าทางโภชนาการ พบว่ามีเพียง 10% ของขนมทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์โภชนาการ แต่ก็ไม่ได้ผ่านทั้งหมด เพราะใน 10% นั้นบางอย่างก็เค็มเกินไป หวานเกินไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มลูกอม หมากฝรั่ง เยลลี่ พบมีน้ำตาลและสารให้ความหวานอื่น ๆ เป็นส่วนผสมจำนวนมาก

2. กลุ่มช็อกโกแลต มีไขมันกับน้ำตาลในปริมาณสูง

3. กลุ่มถั่วและเมล็ดพืช มีไขมันและโซเดียมมาก

4. กลุ่มปลาเส้นปรุงรสต่าง ๆ ปลาอบกรอบ แม้จะมีโปรตีน แต่มีโซเดียมสูง ยิ่งปรุงรสเข้มข้นก็ยิ่งมีโซเดียมมาก

5. กลุ่มมันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ ข้าวอบกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ แป้งทอด จะเต็มไปด้วยโซเดียมและไขมัน


มันฝรั่งทอด

นอกจากขนมกรุบกรอบแล้ว ยังมีขนมปังประเภทเม็กซิกันบัน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยปริมาณสารอาหารที่ได้รับต่อขนมปัง 1 ก้อน ให้พลังงานสูง 600 กิโลแคลอรี เมื่อเทียบปริมาณที่ควร ได้รับอยู่ที่ 200 กิโลแคลอรีต่อวัน

อย่างไรก็ตาม อาหารจำพวกขนมกรุบกรอบกว่า 90% มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก และเต็มไปด้วยสารอาหารที่เกินพอดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อทานต่อเนื่องจะทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และส่วนประกอบหลักของขนมกรุบกรอบประเภทแป้ง ทำให้เด็กได้รับคาร์โบไฮเดรตสูง กลายเป็นเด็กอ้วน ฟันผุ อนาคตเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ

อีกทั้งยังพบว่า ปัจจุบันเด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังมีปัญหา "เมตาบอลิคซินโดรม" คือมีเมตาบอลิซึมผิดปกติ มีความดันโลหิตสูง ไขมันผิดปกติ น้ำตาลผิดปกติ สัมพันธ์กับภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน เป็นผลจากความอ้วน และมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ง่าย

ฉะนั้น ควรหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันให้มากขึ้นแล้วละคะ เน้นการกินผัก ผลไม้ อาหารปรุงเอง จะดีและปลอดภัยที่สุดค่ะ

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553


สมาธิ

คยไหม? บางครั้งที่เราเจอปัญหา หรืออะไรมาสะกิดใจเพียงนิดเดียว ก็เกิดอาการควบคุมจิตใจไม่ได้ เกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวาย มีเรื่องรบกวนไปเสียหมด นั่นเพราะไม่เคยรับการบำบัดทางจิต หรือลองฝึกสมาธิมาก่อน หลายคนที่เคยลองฝึกจิต หรือฝึกสมาธิ จะสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีกว่าคนอื่น ๆ และยังมีสติ ทำอะไรด้วยความไม่ประมาทด้วย.....

วันนี้ เราขอชวนเพื่อน ๆ มาลองฝึกสมาธิเบื้องต้นกันดู ซึ่งโดยปกติแล้ว "สมาธิ" มีหลายประเภทแต่สมาธิที่ฝึกง่ายที่สุด ประหยัดเวลา และได้ผลที่สุดตามที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ปฏิบัติ ก็คือ "อานาปานสติ"หรือการกำหนดลมหายใจเข้าออก ที่เราส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินกันมาบ้างแล้วนั่นเอง โดยหลักการฝึกสมาธิเบื้องต้นแบบง่าย ๆ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

ก่อนฝึกสมาธิ

- ควรอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก่อน เพื่อให้ตัวรู้สึกสบายมากที่สุด เมื่อร่างกายสงบ จิตใจจะสงบได้ง่ายขึ้น

- หาสถานที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่านจอแจ อากาศถ่ายเท เย็นสบาย เพื่อให้เข้าถึงสมาธิได้เร็วมากขึ้น

- พยายามตัดความกังวลทุกอย่างออกไป เช่น ควรจัดการงานที่คั่งค้างอยู่ในเสร็จก่อนเริ่มทำสมาธิ เพื่อไม่ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง

- อย่าตั้งใจมากเกินไป ว่าจะต้องให้ได้ขั้นนั้น ขั้นนี้ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความเคร่งเครียดมากขึ้น จิตใจจะพะวงไปแต่อนาคต ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้อยู่ ณ ปัจจุบัน
ขณะฝึกสมาธิควรปฏิบัติดังนี้

1. กราบบูชาพระรัตนตรัย ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจ

2.ควรนั่งทำสมาธิในท่าขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ขวาจรดนิ้วหัวแม่มือซ้าย วางไว้บนตัก หลังตรง ศีรษะตรง ไม่ควรนั่งพิง เพราะจะทำให้ง่วงได้ง่าย กรณีเป็นคนป่วย หรือคนที่ไม่สามารถนั่งท่าขัดสมาธิได้ ก็สามารถนั่งบนเก้าอี้แทนได้ จากนั้นทอดตาลงต่ำ อย่าเกร็ง เพราะจะทำให้ร่างกายปวดเมื่อย แล้วค่อย ๆ หลับตาลง

3.ส่งจิตไปให้ทั่วร่างกาย ว่ามีกล้ามเนื้อส่วนใดเกร็งอยู่หรือไม่ แล้วค่อย ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้น พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ลึก ๆ มี "สติ" อยู่กับลมหายใจ ตรงจุดที่ลมกระทบปลายจมูก

4.เมื่อเริ่มฝึกสมาธิใหม่ ๆ ควรใช้เวลาแต่น้อยก่อน เช่น 5-15 นาที จากนั้นเมื่อฝึกบ่อย ๆ แล้วจึงค่อยเพิ่มระยะเวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจค่อย ๆ ปรับตัวตาม หากรู้สึกปวดขา หรือเป็นเหน็บ ให้พยายามอดทนให้มากที่สุด หากทนไม่ไหวจึงค่อยขยับ แต่ควรขยับให้น้อยที่สุด เพราะการขยับแต่ละครั้งจะทำให้จิตใจกวัดแกว่ง ทำให้สมาธิเคลื่อนได้ แต่ถ้าหากอดทนจนอาการปวด หรือเป็นเหน็บเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการเหล่านั้นจะหายไปเอง แล้วจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่

5. หากเกิดเสียงดังขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนพูด เสียงสิ่งของกระทบกัน ให้ถือว่าไม่ได้ยินอะไร และอย่าไปใส่ใจกับมัน

6.หากเกิดอะไรขึ้นอย่าตกใจ และอย่ากลัว เพราะทั้งหมดเป็นอาการของจิตที่เกิดขึ้น ให้ตั้งสติเอาไว้ในมั่นคง ทำจิตใจให้ปกติ หากเห็นภาพที่น่ากลัวให้สวดแผ่เมตตาให้สิ่งเหล่านั้น หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรายึดไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าภาพเหล่านั้นไม่หายไป ให้ตั้งสติเอาไว้ หายใจยาว ๆ แล้วถอนสมาธิออกมา เมื่อจิตใจมั่นคงเป็นปกติแล้ว จึงค่อยทำสมาธิใหม่อีกครั้ง โดยควรสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองการปฏิบัติของเราด้วย

7.เมื่อจะออกจากสมาธิ ให้สังเกตดูว่า ใจของเราเป็นอย่างไร แล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย อุทิศส่วนกุศลที่ได้จากการทำสมาธินั้นให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณของเรา แล้วหายใจยาว ๆ ลึก สัก 3 รอบ ก่อนค่อย ๆ ถอนสมาธิช้า ๆ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เบื่อกับการออกกำลังกายแบบเดิม ๆ รึเปล่า ลองเปลี่ยนสไตล์ด้วยการหากิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อจูงใจให้คุณลุกขึ้นมาปฏิวัติเรือนร่างตัวเองอีกครั้ง

1.แอโรบิกในน้ำ

เป็นวิธีออกกำลังกายที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำจะช่วยลดแรงกระแทกจากการออกกำลังกาย ขณะเดียวกันแรงต้านของน้ำก็จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อและจะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ดี

2.พิลาทีส

เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์ของโยคะและยิมนาสติก การฝึกพิลาทีสอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้กล้ามเนื้อเรียวสวยและแข็งแรงขึ้น สัดส่วนกระชับ ที่สำคัญหน้าท้องแบนราบด้วย

3.โยคะ

การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง เปลี่ยนให้จิตใจสงบ มีสมาธิ และเหนือสิ่งอื่นใดยังทำให้รูปร่างกระชับ เพรียวสวย และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

4.บอดี้คอมแบต

สำหรับคนที่หลงใหลศิลปะการต่อสู้และเสียงเพลงน่าจะชื่นชอบกิจกรรมนี้ เต้นบอดี้คอมแบตหนึ่งชั่วโมงทำให้ได้เคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน เผาผลาญแคลอรีและขับเหงื่อได้เป็นอย่างดี

5.ฟิตบอล

การออกกำลังกายด้วยการใช้ลูกบอลรองรับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ขา แผ่นหลัง สะโพก หรือหน้าท้อง จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้เคลื่อนไหว ส่งผลให้รูปร่างกระชับได้สัดส่วนสวย

อดนอน
วิธีทดแทนพลังงาน


มีวิธีดูแลร่างกายสำหรับคนอดนอน แนะนำจาก พ.ญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ความว่า ก่อนอื่นต้องยอมรับเสียก่อนว่าคนเราต้องนอนหลับในยามกลางคืน ไม่ใช่กลางวัน เพราะฮอร์โมนในร่างกายถูกธรรมชาติจัดสรรมาอย่างนั้น ในเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียล หรือต่อมเหนือสมอง จะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ากระฉับ กระเฉงเพื่อกิจกรรมดำเนินในยามกลางวัน

ราวๆ 4-5 โมงเย็น ตอนแสงสว่างลดลง ซีโรโตนินก็จะลดระดับลงเพื่อเตรียมให้ร่างกายได้พัก ในขณะเดียวกันต่อมไพเนียลก็หลั่งฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งชื่อเมลาโตนินออกมา ระดับเมลาโตนินในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ง่วงนอนในกลางคืน พอถึงประมาณตี 2 เมลาโตนินจะเริ่มลดระดับลง และซีโรโตนินก็จะถูกหลั่งออกมาในยามเช้ามืด พอดีเช้าเมลาโตนินหายไป ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นมาได้ระดับเราก็ตื่นพอดี หากอดนอนก็เท่ากับฝืนวัฏจักรของฮอร์โมนตามธรรมชาตินี้ และว่ากันว่าทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้ป่วยได้ง่าย


ทางแก้หากต้องอดนอน มีดังนี้

1.กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซี เพราะเวลาอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วน ทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆ จึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมาก ดังนั้นในระยะนี้ต้องกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสด น้ำส้มคั้นสดๆ หากกินอาหารประเภทดังกล่าวไม่ได้ ให้ใช้วิตามินบี 100 วันละ 1 เม็ด และกินวิตามินซี 1,000 ม.ก. วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า

2.ถึงกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเอง เพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ช.ม.เท่านั้น หากกินอาหารเย็น 6 โมง ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้ว จะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไป ทั้งนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืช จะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก และมีอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียว กล้วย หากเลือกกินยามดึกได้จะทำให้นอนเร็วกว่า

3.ควรนอนทันทีหลังจากเสร็จจากดูบอล หรือดูหนังสือ ไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้านเพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อย และควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมง สุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดี


4.ไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟ หรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมง หากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอ หากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่นมาดูหนังสือหรือดูโทรทัศน์เอาตอนดึก

5.ตื่นเช้าหลังจากอดนอน ควรกระตุ้นตนเองให้กระปรี้กระเปร่าด้วยวิตามินดังที่ได้กล่าวแล้ว หรือจะใช้โสมกินร่วมด้วยก็ดีกว่าดื่มกาแฟ เพราะการใช้วิตามินกับโสมจะทำให้สมองปลอดโปร่งกว่ากินกาแฟ